Ralf Rangnick กุนซือคนใหม่ป้ายแดงของทีมปีศาจแดง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ได้รับฉายาว่าเป็นหนึ่งในผู้บุกเบิกสไตล์การเล่นของฟุตบอลเยอรมันสมัยใหม่ (Father of Modern German Football) การเล่นบอลแบบ high-pressing ผสมกับการจ่ายบอลตัดคู่ต่อสู่ในแนวตั้งถือเป็นปรัชญาการเล่นหลักที่เขาได้นำมาประยุกต์ในบอลยุคปัจจุบัน รวมถึงการเป็นพ่อแบบและแรงบันดาลใจให้กับกุนซือในสมัยใหม่อีกหลายคน
ขณะนี้เจ้าตัวได้ตกลงรับงานคุมทัพชั่วคราวที่ถิ่น Old Trafford ด้วยสัญญา 6 เดือนต่อด้วยการเป็นที่ปรึกษาด้านฟุตบอลให้กับสโมสรต่ออีก 2 ปีหลังจบฤดูกาล เรามาดูกันว่า Ralf Rangnick นั้นเป็นใครมาจากไหนและมีเรื่องราวความเป็นมายังไง?
การพบเจอกับสไตล์การเล่นแบบใหม่
เริ่มจากการเป็นกองกลางในช่วงชีวิตค้าแข้ง เขาถูกปล่อยตัวออกมาจากทีม Ulm 1846 ตั้งแต่อายุเพียง 25 ปี เจ้าตัวจึงใช้โอกาสนี้เริ่มเข้ารับงานเป็นทั้งผู้เล่นและผู้คุมทีม (player-manager) ให้กับสโมสรท้องถิ่น FC Viktoria Backnang ตั้งแต่ปี 1983 สิ่งที่จุดประกายให้เขาหันมาเปลี่ยนแปลงการเล่นบอลสไตล์ pressing นั้นเริ่มมาจากการมาเยือนของทีม Dynamo Kyiv ที่คุมโดย Valeriy Lobanovskyi ในนัดอุ่นเครื่องกับทีมของเขา ตอนที่เขาเล่นอยู่ในตำแหน่งกองกลาง เขารู้สึกได้ว่าตัวเขาและเพื่อนร่วมทีมถูกกดดันตลอด 90 นาที และสัมผัสได้ถึงสไตล์การเล่นที่แปลกใหม่และน่าประทับใจที่ยังไม่มีใครใช้ในฟุตบอลเยอรมัน

Source: SportMob
ความประทับใจดังกล่าวได้ทำให้ Rangnick เองตัดสินใจเดินทางไปดู Kyiv ของ Lobonovskiy ฝึกซ้อมอยู่เป็นประจำและกลายเป็นจุดสปาร์คให้เริ่มทดลองการเล่นที่แตกต่างออกไปจากคู่มือการเล่นบอลเยอรมันของช่วงยุค 1980 ที่เน้นในเรื่องของการ man-marking เป็นหลัก
อีกหนึ่งแรงบันดาลใจของ Rangnick มาจาก Arrigo Sacchi ที่คุมทัพ เอซี มิลาน คว้าแชมป์แบบนับไม่ถ้วนรวมถึงการพาทีมคว้าแชมป์บอลยุโรป 2 สมัยซ้อนไปในปี 1989 และ 1990 โดยทีมของ Sacchi นั้นมักใช้แนวรับ 4 คนในระบบ back-four ที่ประกอบไปด้วย Paolo Maldini กับ Franco Baresi ซึ่งในสมัยนั้นบอล เยอรมันยังคงใช้ระบบที่พึ่งพา sweeper หรือกองหลังตัวสุดท้ายอยู่ การ expose ตัวเองต่อระบบการเล่นใหม่ๆ ทำให้ Rangnick เริ่มกลายเป็นรากฐานของสไตล์การเล่นที่เน้นการ pressing และได้นำมาประยุกต์ใช้ในแบบเขา
The Professor: พาทีมเล็กสู่ความสำเร็จ
แม้ว่าเขาได้พาทัพ สตุ๊ตการ์ต รุ่น U21 คว้าแชมป์ลีกในปี 1991 แต่เจ้าตัวก็ได้เผชิญปัญหาต่างๆ นานาโดยเฉพาะในเรื่องของโปรไฟล์ที่ยังไม่เคยคุมทีมชุดใหญ่ ในปี 1994 เขาได้ตัดสินใจลา สตุ๊ตการ์ต เพื่อไปคุมทัพ Reutlingen ในดิวิชั่น 3 ของเยอรมันในปีต่อมา หลังจากที่ได้ทดลองฝีมือในดิวิชั่นล่างราว 18 เดือน เขากลับไม่สามารถพาทีมเลื่อนชั้นขึ้นได้แต่งานนั้นได้กลายเป็น stepping stone ให้เขาหันมารับงานที่ต้นสังกัดเก่าอย่าง Ulm 1846 ภายในเวลาแค่ 2 ฤดูกาลเขาได้พาทีมเลื่อนชั้นจากลีกภูมิภาค Regional Liga South ขึ้นมาสู่บุนเดสลีกาได้สำเร็จเป็นครั้งแรกของประวัติศาสตร์สโมสร

Source: Transfermarkt
หลังจากนั้นเขาได้ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้จัดการทีมที่สามารถพาทีมระดับเล็กที่ไม่ได้มีผู้เล่นซูเปอร์สตาร์ใดๆ และไม่ได้มีเงินทุนมหาศาลก้าวขึ้นมาประสบความสำเร็จได้ ทั้งนี้ทำให้เจ้าตัวเริ่มมีชื่อเสียงในวงการฟุตบอลเยอรมันจนถูกรับเชิญมาพูดคุยและวิเคราะห์ในรายการโทรทัศน์ ZDF’s SportStudio ในฐานะผู้บุกเบิกสไตล์การเล่นแบบสมัยใหม่ และได้กลายเป็นหน้าตาของวงการในเรื่องการนำ tactics การเล่นที่ต่างจากรูปแบบเดิมๆ มาประยุกต์ใช้จนได้รับฉายาว่า อาจารย์ หรือ “the professor”
ต่อมาในปี 1999 เขาได้หวนกลับมาที่ สตุ๊ตการ์ต อีกครั้ง โดยในครั้งนีเขารับการแต่งตั้งให้คุมทัพชุดใหญ่แต่ก็อยู่กับสโมสรได้แค่สองปีก็โดนปลดเสียแล้ว หลังจากที่โดนปลดจากทีมจากบุนเดสลีกา เขาได้กลับไปรับงานในดิวิชั่น 2 ในปี 2001 กับ ฮันโนเวอร์ 96 และพาทีมเลื่อนชั้นสู่ลีกสูงสุดได้สำเร็จ อีกหนึ่งทีมที่พาเขากลับเข้ามาอยู่ใน spotlight คือการคุมทัพ ชาลเก้ 04 จบรองแชมป์ในปี 2005 ก่อนที่จะถูกปลดอีกครั้งในปีต่อมา
โด่งดังกับฮอฟเฟ่นไฮม์
รังนิกนั้นเป็นที่รู้กันว่าเป็นกุนซือที่มีวิสัยทัศน์ในการทำทีมทั้งในและนอกสนาม เจ้าตัวต้องการบทบาทที่จะปรับเปลี่ยนอะไรหลายๆ อย่างในองค์กรจนมักก่อใ้ห้เกิดความตึงเครียดกับผู้บริหารอยู่เสมอ รังนิกเชื่อในการว่าจ้างสต๊าฟทีมงานด้านการวิเคราะห์และด้านจิตวิทยาเข้ามาอีกด้วย ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติในปัจจุบันแต่อาจยังไม่ค่อยมีใครลงทุนกับมันในสมัยนั้น นอกจากนี้แล้วเจ้าตัวยังต้องการเป็นคนเลือกการย้ายเข้าออกของผู้เล่นในทีมเพื่อให้สอดคล้องกับแนวการเล่นและทัศนคติของเขา เขามีความชัดเจนว่าต้องการให้การเล่นของทีมนั้นมีความรวดเร็ว สร้างความกดดันต่อคู่แข่ง และมีเป้าหมายในการเล่นที่ชัดเจน ดังนั้นเขาจึงชอบดึงผู้เล่นวัยหนุ่มไฟแรงที่มีอายุต่ำกว่า 23 ปี

Source: Heidelberg24
ในปี 2006 เขาได้มีโอกาสคุมทัพสโมสรจากหมู่บ้านเล็กๆ อย่าง ฮอฟเฟ่นไฮม์ แต่เป็นสโมสรที่มีการเงินสนับสนุนจากมหาเศรษฐี Dietmar Hopp ในตอนนั้น ฮอฟเฟ่นไฮม์ยังคงเล่นอยู่ในดิวิชั่น 3 ของบอลเยอรมันและเป็นทีมโนเนมที่เหมาะกับเข้ามามีบทบาทและปฏิวัติสโมสรอย่างเต็มตัวของรังนิก
ภายในปี 2008 (2 ปีต่อมา) รังนิกกับฮอฟเฟ่นไฮม์ได้ก้าวขึ้นมาสู่บุนเดสลีกาสำเร็จและเริ่มเป็นที่โด่งดัง โดยเฉพาะหลังจากที่ลูกทีมเขา ในฐานะน้องใหม่ จบอันดับที่ 7 ของตาราง บวกกับการถล่มเสือเหลือง โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ไปถึง 4-1 จนทำให้กุนซือของดอร์ทมุนด์ Jurgen Klopp ได้ออกมากล่าวชื่นชมสไตล์การเล่นว่า “วันหนึ่งพวกเราต้องการที่เล่นในสไตล์แบบนั้น (ของฮอฟเฟ่นไฮม์)”
สร้างอาณาจักรกับ Red Bull
หลังจากที่ได้คุมทัพฮอฟเฟ่นไฮม์มาเป็นเวลากว่า 5 ปี เจ้าตัวได้ตัดสินใจอำลาสโมสรที่เขาได้สร้างขึ้นมากับมือ จนในปี 2012 เขาก็ได้รับโอกาสในการบุกเบิกสร้างทีมอีกครั้ง คราวนี้ในฐานะผู้อำนวยการฝ่ายฟุตบอล (Director of Football) ให้กับ RB Leipzig และ RB Salzburg ซึ่งความสำเร็จของสองทีมดังกล่าวได้กลายเป็นจุดผนึกที่บ่งบอกความสามารถของเจ้าตัวอีกครั้ง

Source: Bundesliga
เส้นทางสู่บุนเดสลีกาของ ไลป์ซิก จากดิวิชั่น 4 นั้นเป็นเรื่องราวอันมหัศจรรย์ที่บ่งบอกถึงความสำเร็จในแง่ของฟุตบอล แต่นั้นเป็นเพียงแค่ส่วนน้อย มันคือ identity ของแบรนด์ฟุตบอลภายใต้ Red Bull ต่างหากที่แสดงถึงความพิเศษของอัจฉริยะฟุตบอลคนนี้ออกมาทั้งในและนอกสนาม
แม้ว่าเจ้าตัวจะลาอาณาจักรของ Red Bull เมื่อปี 2020 ที่ผ่านมา แต่ทัศนคติและไอเดียของเขานั้นได้ฝังรากลงไปในองค์กรอย่างเต็มตัว ตำนานในการทำทีมของเขานั้นจะยังคงอยู่ไปกับฟุตบอลเยอรมันสมัยใหม่และได้กลายเป็นแรงบันดาลใจต่อกุนซือชาวเยอรมันยุคใหม่ๆ อย่าง Jurgen Klopp, Julian Nagelsmann และ Thomas Tuchel เป็นต้น อย่างไรก็ตามยังคงมีกุนซือหน้าใหม่อีกหลายคนที่ในตอนนี้ยังไม่สามารถสร้างชื่อเสียงได้ที่ยึดถือปรัญชาของรังนิกเอาไว้ เพราะเหตุนี้เองเขาถึงเป็น ผู้บุกเบิกของฟุตบอลเยอรมันสมัยใหม่ที่แท้จริง

Source: Manchester Evening News